หลังจากปี 2019 ตัดสินใจเปลี่ยนจาก Xiaomi Mi Band 3 มาเป็น Samsung Galaxy Fit (รุ่นแรก) เพราะชื่นชอบฟังก์ชั่น Quick Reply ที่เอาไว้ตอบกลับข้อความโดยที่ไม่ต้องหยิบมือถือ ผ่านไปหนึ่งปี Samsung ออกอัพเดทใหม่ เปิดตัว Samsung Galaxy Fit2 รุ่นอัพเกรด (รึป่าว?) ด้วยการนำจุดเด่นของ Samsung Galaxy Fit และ Samsung Galaxy Fit e สายรัดข้อมือ 2 รุ่นของค่ายมารวมกัน
จุดเด่น Samsung Galaxy Fit2
- แบตเตอรี่อึดมากกว่าเดิม จากเดิม Galaxy Fit รุ่นแรก ในการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง จะใช้ได้ประมาณ 2-3 วันเท่านั้น ส่วน Galaxy Fit2 ในการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้งานได้ถึง 7 วัน (1 สัปดาห์)
- สามารถใช้ควบคุม เพิ่ม-ลด ความดังเสียง ในโหมดควบคุมมัลติมีเดีย
- ย้ายปุ่มกดที่ด้านข้างตัวเครื่อง มาเป็นปุ่มแบบสัมผัสบนหน้าจอ บริเวณด้านล่างของจอแสดงผล
- แท่นชาร์จแบบเขี้ยว แปะติดกับตัวเครื่อง มั่นใจว่าชาร์จไฟเข้าแน่นอน (แต่ก็เป็นจุดด้อยเช่นกัน)
- การอัพเดทเฟิร์มแวร์ของสายรัดข้อมือ ส่งข้อมูลกันได้รวดเร็วขึ้นมาก
- จัดการ การแจ้งเตือนของแอพต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้น
จุดด้อย Samsung Galaxy Fit2
- มีความหน่วงในการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นการพลิกข้อมือขึ้นมาดูข้อมูล หรือการแตะสัมผัสให้หน้าจอแสดงข้อมูล มีความหน่วงมากขึ้นกว่า Galaxy Fit รุ่นแรก ต้องปรับตัวให้ชินกับความหน่วงนี้
- การชาร์จ ต้องกดตัวเรือนเข้ากับเขี้ยวของแท่นชาร์จ ไม่เป็นระบบแม่เหล็กสัมผัสเหมือนรุ่นแรก (แต่ก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน)
- หน้าตาเหมือน Galaxy Fit e มากกว่าจะเป็น Galaxy Fit2 เพราะรูปแบบของสายรัด ที่เป็นยางชิ้นเดียว
ไม่ได้ใช้ Samsung Galaxy Fit2 ออกกำลังกาย แต่ใช้เป็นนาฬิกา และการแจ้งเตือน
โดยส่วนตัวผมแทบไม่ได้ใช้ฟังก์ชั่นการออกกำลังกายกับสายรัดข้อมือเท่าไร หน้าจอ Home ก็แสดง เวลา วันที่ และ ปริมาณแบตเตอรี่ เป็นหลัก ส่วนอื่นๆ ที่จะทำให้กินแบตเตอรี่ก็ปิดแทบจะทั้งหมด และการแจ้งเตือนก็จะเหลือแค่แอพสำคัญ คือ การแจ้งเตือนเมื่อมีสายเข้าเพราะไม่ได้เปิดเสียงมือถือ แอพ Facebook Messenger และ แอพ Telegram ที่เปิดแจ้งเตือนเฉพาะกลุ่มแจ้งงานด่วนเท่านั้น